หลาย ๆ ท่าน ที่มีแก้มเยอะ กรามใหญ่ เหนียงย้อย แต่อยากมีรูปหน้าเรียวขึ้นคงกำลังลังเลอยู่ใช่ไหมว่าระหว่าง Meso fat กับ Botox ควรเลือกฉีดอันไหนดี สองตัวนี้ทำงานต่างกันยังไง อันไหนปลอดภัยมากกว่ากัน!
วันนี้ Inno…จะมาคลายข้อสงสัยให้ทุกท่าน ว่าใบหน้าของคุณเหมาะกับแบบไหนมากกว่ากันจะได้แก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด แถมยังไม่ต้องเสียเวลาผ่าตัดพักฟื้นอีก ไปดูพร้อมกันในบทความด้านล่างนี้กันค่ะ
เลือกหัวข้อที่สนใจอ่านตามด้านล่าง
ทำความรู้จักกับ Meso Fat และ Botox
เมโสแฟต (Meso Fat) เป็นหนึ่งในวิธีสลายไขมันในร่างกาย โดยเป็นการฉีดตัวยาที่มีฤทธิ์สลายไขมันเข้าไปในผิวชั้นไขมันเพื่อลด และสลายไขมันส่วนเกินเฉพาะจุด โดยการฉีดเมโสแฟตจะใช้กลุ่มยาหลาย ๆ ตัว เช่น Phosphatidylcholine, Deoxycholate, L-carnitine, Vitamin B complex, Amino acids, Minerals ฯลฯ ซึ่งหลังฉีดเมโสแฟตไประยะหนึ่ง จะเห็นได้ว่าบริเวณที่ฉีดเมโสแฟตจะค่อย ๆ ยุบลง ชั้นไขมันดูลดลง สัดส่วนเล็กลงนั่นเอง
Botox
โบท็อกซ์ คือ ชื่อทางการค้าของ โบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ ( Botulinum toxin type A) ซึ่งเป็นสารสกัดจากแบคทีเรียที่มีชื่อว่า คลอสตริเดียม โบทูลินัม (Clostridium Botulinum) โบท็อกซ์ถูกนำมาใช้ในวงการเสริมความงาม เมื่อฉีดไปแล้วจะออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท (Neuro toxin) มีผลทำให้มัดกล้ามเนื้อทำงานได้ลดลงชั่วคราว และช่วยลดริ้วรอยได้
ปัญหาบนใบหน้าที่พบบ่อย ?
กรามใหญ่ : อาจจากการที่มีกล้ามเนื้อบริเวณกรามเยอะ หรือบางคนมีกระดูกกรามใหญ่จึงทำให้โครงหน้าดูใหญ่ตามไปด้วย
แก้มเยอะ : บางคนมีแก้มเยอะอาจรู้สึกไม่มั่นใจ ถ่ายรูปออกมาแล้วดูหน้าบวม อ้วน และเมื่ออายุมากขึ้น แก้มก็เริ่มหย่อนคล้อยอีกด้วย
คางสองชั้น : อาจเกิดจากน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น ทำให้มีไขมันสะสมอยู่บริเวณใต้คาง แม้จะลดน้ำหนักแล้วแต่คางสองชั้น หรือเหนียงไม่ได้ลดตามไปด้วย
ริ้วรอย : เมื่ออายุมากขึ้นเริ่มมีริ้วรอยตามมา จึงทำให้รู้สึกไม่มั่นใจ
ใครควรฉีด Meso fat ?
การฉีดเมโสแฟต เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาไขมันสะสมอยู่บริเวณใบหน้าเยอะ เช่น แก้มเยอะ คางสองชั้น เป็นต้น ซึ่งตัวยาเมโสแฟตจะไปช่วยสลายไขมัน ทำให้ปริมาณไขมันลดลงได้ถึง 10-15% ในครั้งแรก จึงทำให้เหนียง และแก้มยุบลงได้ แต่ทั้งนี้ผลลัพธ์ก็ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองด้วย เพราะหากกินอาหารที่มีไขมัน หรือของหวานเยอะ และไม่ออกกำลังกายร่วมด้วย ไขมันก็จะกลับมาสะสมได้ใหม่อีกครั้ง
ใครควรฉีด Botox ?
การฉีดโบท็อกซ์ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอย หรือมีขนาดกรามใหญ่ที่เกิดจากกล้ามเนื้อบนใบหน้า โดยการฉีดให้กล้ามเนื้อบริเวณที่มีริ้วรอยจะช่วยลดเลือนริ้วรอยได้ เช่น ริ้วรอยหน้าผาก ระหว่างคิ้ว หางตา เป็นต้น ซึ่งการฉีดโบท็อกซ์จะช่วยให้กล้ามเนื้อส่วนคอ หรือบริเวณกรอบหน้า และใต้คางคลายตัวชั่วคราวทำให้ใบหน้ายกกระชับขึ้น ช่วยลิฟกรอบหน้า ใบหน้าจึงดูเรียว และหากฉีดบริเวณกล้ามเนื้อส่วนกราม ก็จะทำให้ขนาดของกล้ามเนื้อค่อย ๆ เล็กลงจึงลดขนาดของกรามได้
Meso Fat กับ Botox ฉีดพร้อมกันได้ไหม ?
ส่วนใหญ่การฉีดโบท็อกซ์มักทำร่วมกับการฉีดเมโสแฟต ซึ่งเมื่อฉีดโบท็อกซ์เข้าไปมัดกล้ามเนื้อทำงานได้ลดลง และเมื่อฉีดเมโสแฟตร่วมด้วย ทำให้ตัวยาเข้าไปสลายไขมันพร้อมยกกระชับไปในตัว ยิ่งช่วยให้ใบหน้าเรียว และเล็กลงยิ่งขึ้น
Meso fat และ Botox อยู่ได้นานกี่เดือน ?
Meso fat ผลลัพธ์ของการฉีดแฟตจะขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน อาหารที่รับประทาน การพักผ่อน ของแต่ละบุคคล แต่โดยเฉลี่ยแล้วจะสามารถอยู่ได้นานประมาณ 2 – 3 เดือน
Botox ผลลัพธ์ของโบท็อกซ์ลดกราม อยู่ได้ 5-6 เดือน และโบท็อกซ์ลดริ้วรอย อยู่ได้ 3-4 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองของแต่ละบุคคลด้วย
Meso Fat กับ Botox ปลอดภัยไหม ?
เมโสแฟต และ โบท็อกซ์ เป็นหัตถการที่มีความปลอดภัยสูง เพราะตัวยาทั้งสองชนิดสามารถสลายได้เองตามธรรมชาติโดยไม่ทิ้งสารตกค้าง แต่ไม่ควรฉีดบ่อยเกินไป เพราะอาจจะทำให้ดื้อยาได้ และไม่เห็นผลลัพธ์ได้ตามต้องการ
สรุป Meso fat VS Botox ต่างกันอย่างไร ?
โบท็อกซ์ (Botox) | เมโสแฟต (Meso Fat) |
ใช้ฉีดให้กล้ามเนื้อคลายตัว เพื่อลดขนาดกล้ามเนื้อ และยกกระชับ | ใช้ฉีดสลายไขมัน เพื่อลดไขมันส่วนเกิน |
ช่วยปรับรูปหน้าให้กระชับ ใบหน้าสวยเข้ารูปมากยิ่งขึ้น | ช่วยสลายไขมันเฉพาะจุด เช่น บริเวณใต้คาง หรือแก้ม ทำให้ใบหน้าดูเรียวขึ้น |
สามารถฉีดพร้อมเมโสแฟตได้ | สามารถฉีดพร้อมโบท็อกซ์ได้ |
ตัวยาสลายได้เองตามธรรมชาติไม่ทิ้งสารตกค้าง มีความปลอดภัย | ตัวยาสลายได้เองตามธรรมชาติไม่ทิ้งสารตกค้าง มีความปลอดภัย |
เห็นผลใน 1-2 สัปดาห์ และอยู่ได้นาน 3-6 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ และบริเวณที่ฉีด | เห็นผลใน 1-2 สัปดาห์ และอยู่ได้นาน 2-3 เดือน ขึ้นอยู่กับปริมาณ และการดูแลตัวเองหลังฉีด |
นิยมฉีดลดกราม ลิฟกรอบหน้า ลดริ้วรอย และลดเหงื่อ | นิยมฉีดเพื่อลดแก้ม หรือลดเหนียงบนใบหน้า |