คีลอยด์ Keloid ร่องรอยของความเจ็บปวด
Updated: Dec 26, 2022
ไม่อยากมีแผล “คีลอยด์” ร่องรอยที่ติดตัว
จนสูญเสียความมั่นใจ
ใครจะรู้ว่าคีลอยด์นั้น
สามารถรักษาให้ดูดีเรียบเนียนขึ้นได้
วันนี้ InnovationBeauty
พามาทำความรู้จักแผลเป็นคีลอยด์
สาเหตุ > ประเภท > การรักษา> อันตราย⁉
วิธีไหนที่เหมาะกับการรักษาแผลคีลอยด์ของคุณ


คีลอยด์ (Keloid) คือ... แผลเป็นคีลอยด์ (Keloid) คือแผลเป็นชนิดหนึ่งที่มีลักษณะนูนเงาและขยายใหญ่กว่าแผลเป็นที่เกิดขึ้น ในช่วงแรกๆ จะปรากฏเป็นสีแดงแล้วค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีคล้ำหรือซีดลง โดยอาจเกิดขึ้นทันทีที่แผลหายหรือหลังจากที่แผลหายดีได้สักพัก บางครั้งอาจใช้เวลาเป็นเดือนหรือเป็นปีกว่าจะก่อตัวขึ้นมา อาจทำให้รู้สึกเจ็บ คัน ระคายเคือง ส่งผลกระทบถึงเรื่องความสวยความงาม สามารถเกิดได้ทุกส่วนของร่างกาย โดยส่วนใหญ่มักขึ้นตาม หน้าอก หัวไหล่ หลัง ลำคอ และติ่งหู ซึ่งแผลเป็นคีลอยด์จะคงอยู่เป็นเวลาหลายปี

กลไก/สาเหตุการเกิดคีลอยด์
สาเหตุของการเกิดแผลเป็นคีลอยด์ เกิดจากความผิดปกติของกระบวนการรักษาแผลตามธรรมชาติของร่างกาย โดยปกติผิวหนังจะมีไฟโปรบลาสต์ (Fibroblast) ทำให้เกิดการสร้างเนื้อเยื่อและคอลลาเจนเพื่อซ่อมแซมส่วนที่เสียหาย แต่หากกระบวนการนี้ทำงานมากจนเกินไปจะทำให้เกิดแผลเป็น โดยจะก่อตัวขึ้นหลังจากที่ได้รับบาดแผลบริเวณผิวหนัง เช่น แผลจากการผ่าตัด แผลจากการเจาะตามร่างกาย แผลไหม้ แผลจากอีสุกอีใส แผลจากสิว หรือแม้กระทั่งแผลที่เกิดจากรอยขีดข่วนเล็ก ๆ น้อย ๆ มีรายงานของวารสารวิชาการการผ่าตัดโรคผิวหนัง ในปี 2009 กล่าวว่าการสังเคราะห์คอลลาเจนในแผลเป็นคีลอยด์จะสูงกว่าผิวปกติที่ไม่มีแผลเป็นถึง 20 เท่า และสูงกว่าในรอยแผลเป็นนูนหนาถึง 3 เท่าเลยทีเดียว

แบบไหนถึงเรียกว่าคีลอยด์
แผลเป็นนูน (Hypertrophic Scar)
จะมีขอบเขตของแผลเป็นใกล้เคียงหรือเท่ากับรอยเดิมของแผล และอาจมีอาการคัน ซึ่งจะเกิดขึ้นภายใน 1 เดือนหลังแผลหาย และเมื่อทิ้งไว้อาจจะยุบแบนราบลงได้เอง ภายในระยะเวลา 12-24 เดือน
แผลเป็นคีลอยด์ (Keloid)
จะเป็นแผลเป็นที่โตนูน และขยายใหญ่เกินขอบเขตของแผลเดิมไปมาก อาจมีอาการคันและเจ็บร่วมด้วย และอาจเกิดได้ทันทีหรือเกิดขึ้นหลังแผลหายแล้วตั้งแต่ 3 เดือนเป็นต้นไป
และเมื่อทิ้งไว้จะคงอยู่ไม่ยุบแบนราบลงได้เอง และยิ่งไปกว่านั้นบางรายอาจมีขนาดโตขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย มักเกิดขึ้นกับผู้ที่มีอายุระหว่าง 10 – 30 ปี อาจมีแนวโน้มจากพันธุกรรม ซึ่งผู้ที่เป็นแผลคีลอยด์ก็อาจมีสมาชิกในครอบครัวที่เคยเป็นคีลอยด์ได้เช่นเดียวกัน

วิธีการรักษาคีลอยด์
1. การรักษาโดยใช้ยาทาแก้แผลเป็น เช่น ยากลุ่มสเตียรอยด์ ยาที่มีวิตามิน E หรือ A เป็นส่วนประกอบ กรณีที่แผลเป็นนูนเป็นเพียงเล็กน้อยและไม่นานนัก
2. การรักษาโดยใช้แผ่นซิลิโคนเจลปิดบริเวณแผลเป็น สำหรับแผลเป็นที่เป็นใหม่ๆ จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับแผลเป็น ลดการอักเสบ ลดการขยายตัวของแผล
3. การฉีดยาด้วยยาสเตียรอยด์ โดยฉีดยาเข้าไปในชั้นผิวหนังแท้เพื่อลดการอักเสบและ mediators ลดการสร้างคอลลาเจน ทำให้แผลเป็นแบนราบลง
ยาที่แนะนำคือ Triamcinolone acetonide หากใช้ยาไปแล้ว 4 ครั้งยังไม่ดีขึ้น ควรเปลี่ยนไปใช้วิธีอื่นแทน
4. เลเซอร์รอยแผลเป็น (Laser therapy) เพื่อทำลายเนื้อเยื่อรอยแผลเป็น ทั้งนี้แพทย์อาจใช้วิธีการอื่นควบคู่ไปด้วย เช่น การกรอผิวเพื่อปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนขึ้น
5. การผ่าตัด การผ่าตัดเพื่อแก้ไขแผลเป็นนั้น มักจะเลือกใช้เมื่อใช้วิธีอื่นแล้วไม่ได้ผลแล้ว โดยนิยมใช้ร่วมกับการรักษาด้วยวิธีอื่น เช่น การฉีดยา หรือการปิดด้วยแผ่นซิลิโคนก็ได้ การผ่าตัดมีอยู่หลายวิธี อาจจะใช้วิธีตัดออกโดยตรงแล้วเย็บปิดเป็นเส้นตรง หรืออาจจะตัดออกเป็นรูปซิกแซก เพื่อที่จะให้แผลเป็นที่เกิดขึ้นใหม่มีลักษณะใกล้เคียงกับรอยย่นตามผิวหนัง