top of page

เผย! สาเหตุของ “รอยดำ รอยแดง”พร้อมแชร์เทคนิค ลดรอยดำ รอยแดง จากสิว

Updated: 16 hours ago


สาเหตุของรอยดำ รอยแดง

สารบัญ

รอยแดง รอยดำ คืออะไร

สาเหตุการเกิดรอยแดง

สาเหตุการเกิดรอยดำ

ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดรอยแดง รอยดำ

วิธีป้องกันการเกิดรอยแดง รอยดำจากสิว

วิธีรักษารอยแดง รอยดำ


 

1. รอยแดง รอยดำ คืออะไร

รอยแดง รอยดำ คือ ร่องรอยที่เหลือทิ้งไว้หลังเกิดการอักเสบในบริเวณพื้นที่นั้นซึ่งแตกต่างกันตามชั้นของผิวหนังที่เกิดการอักเสบ โดยที่รอยแดงมักจะเกิดในบริเวณผิวหนังชั้นตื้น ส่วนรอยดำมักเกิดในบริเวณชั้นหนังแท้ของผิวซึ่งลึกกว่ารอยแดง จึงทำให้การรักษายุ่งยากกว่ารอยแดง


 

2. สาเหตุการเกิดรอยแดง

รอยแดง (PAR: Post Acne Erythema หรือ PIE: Post – Inflammatory Erythema) มักเกิดขึ้นในขณะที่เป็นสิวหรือหลังจากที่รักษาสิวหายแล้ว หรืออาจเกิดจากการแพ้เครื่องสำอางหรือแชมพูก็ได้ ส่วนใหญ่มักเกิดจากผิวหนังบริเวณนั้นเกิดการอักเสบจึงทำให้เกิดรอยแดง เมื่อผิวหนังเกิดการอักเสบทำให้กลไกภายในร่างกายเริ่มฟื้นฟูตัวเองโดยการลำเลียงเลือดไปยังบริเวณที่ผิวหนังเกิดการอักเสบมากขึ้น เพื่อซ่อมแซมและฟื้นฟูเซลล์เนื้อเยื่อ ส่งผลให้หลอดเลือดบริเวณที่เป็นสิวอักเสบเกิดการขยายตัว ทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นกลายเป็นสีแดง ชมพู หรือสีออกม่วง ถ้ามีการอักเสบเป็นเวลานานอาจมีการกระตุ้นเม็ดสีให้ผลิตเมลานิน (Melanin) ทำให้เกิดเป็นรอยดำตามมาได้

รอยแดงที่เกิดจากสิว หรือรอยแดงที่เกิดจากการอักเสบของผิวหนัง สามารถหายไปเองโดยธรรมชาติได้ แต่อาจจะต้องใช้เวลาค่อนข้างนานอาจหลายสัปดาห์หรือเป็นเดือน ซึ่งรอยแดงจะหายเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างเช่น ระยะเวลาการอักเสบ, การผลัดเซลล์ผิว เป็นต้น


รอยแดงจากสิว

 

3. สาเหตุการเกิดรอยดำ

รอยดำ (PIH: Post – Inflammatory Hyperpigmentation) ส่วนใหญ่เกิดหลังจากการอักเสบหรือการระคายเคืองของผิวหนัง ซึ่งไปกระตุ้นเมลาโนไซต์ (Melanocytes) ให้ผลิตเมลานิน (Melanin) ปริมาณเม็ดสีใน Keratinocytes จึงมากกว่าปกติ ทำให้เกิดเป็นรอยดำบริเวณที่ผิวหนังเกิดการอักเสบ หรืออาจจะเป็นสีอื่น ได้แก่ สีแทน สีน้ำตาล สีน้ำตาลเข้ม หรือ สีเทา ก็ได้ นอกจากนี้รอยดำยังสามารถเกิดขึ้นได้จากสาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้ผิดเกิดการระคายเคืองอีกด้วย เช่น การทำเลเซอร์ การลอกหน้า การระคายเคืองจากมีดโกนหนวด แมลงกัดต่อย อาการแพ้เครื่องสำอาง ผื่นผิวหนังอักเสบ

รอยดำจากสิวมักเกิดจากสิวอักเสบบริเวณชั้นหนังแท้ ทำให้ใช้เวลาในการรักษานานกว่ารอยแดง ซึ่งหากรักษาผิดวิธีหรือปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้กลายเป็นรอยดำถาวรได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนที่ชอบแกะสิว ทำให้เกิดรอยถลอกขึ้น รอยถลอกนี้ก็จะกลายเป็นรอยดำขึ้นได้

รอยดำจากสิว

 

4. ปัจจัยกระตุ้นให้เกิดรอยแดง รอยดำ

  • แสงแดด

สิ่งหนึ่งที่มาพร้อมกับแสงแดดคือ รังสี UV หรือ รังสีอัลตราไวโอเลต สามารถพบได้ในแสงแดดทั่วไปและแสงจากคอมพิวเตอร์ รังสียูวีถือเป็นเรื่องที่ใกล้ตัว อันตรายต่อผิวหนังและดวงตา การได้รับแสงแดดที่มากเกินไปโดยไม่มีการป้องกัน เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดรอยดำคล้ำมากยิ่งขึ้น เนื่องจากรังสียูวีในแสงแดดก่อให้เกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งไปกระตุ้นเซลล์เม็ดสี เพิ่มขึ้นมากผิดปกติ ทำให้ผิวหน้าหมองคล้ำ ไม่กระจ่างใส และเกิดปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำตามมาในที่สุด


รอยดำจากแสงแดด

  • การบีบแคะแกะสิว

หลายคนอดทนรอให้สิวหายเองไม่ไหว อยากให้สิวออกไปจากหน้าเร็ว ๆ จึงพยายามบีบแกะและเค้นสิว ไม่ว่าจะเป็นสิวผด สิวหัวดำ สิวอักเสบ หรือสิวหัวช้าง ซึ่งยิ่งสิวมีขนาดใหญ่เท่าไหร่ ความเสียหายหลังจากการบีบก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น โดยจะทิ้งเป็นรอยแดงและรอยด่างดำเอาไว้ให้เรานานยิ่งกว่าตัวสิวเองซะอีก


รอยดำจากการแกะสิว

  • การผลัดเซลล์ผิวที่ช้าลง

การผลัดผิวสำคัญกว่าที่คิค เพราะช่วยให้ขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดลอกไป ทำให้ปัญหาจุดด่างดำ ความมันของผิวหน้า การอุดตันของสิวลดน้อยลง แต่เมื่ออายุมากขึ้น หรือการทำความสะอาดที่ไม่เพียงพอ ประสิทธิภาพการผลัดเซลล์ผิวจะลดลง การสร้างเซลล์ผิวใหม่ช้าขึ้น ทำให้ปัญหาทั้งจุดด่างดำ ความมัน ยังคงเหลืออยู่


การผลัดเซลล์ผิวช้าทำให้รอยดำยังอยู่

ผู้ที่มีลักษณะของผิวที่แห้งเกินไปก็อาจเกิดการระคายเคืองต่อสิ่งเร้าที่เข้ามาสัมผัสกับหนังของเราได้ง่ายจนเกิดอาการแพ้ รวมถึงการที่ผิวแห้งยังกระตุ้นให้ต่อมไขมันใต้ชั้นผิวหนังของเรามีการผลิตไขมันออกมาเป็นจำนวนมาก ซึ่งไขมันเป็นสาเหตุหลักของการเกิดสิวเมื่อรวมกับสิ่งสกปรก และการเพิ่มจำนวนของแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ตามผิวของเราแล้วจึงทำให้เกิดสิวอักเสบ


ผิวแห้งหรือผิวมัน

 

5. วิธีป้องกันการเกิดรอยแดงรอยดำจากสิว

  • ·หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นให้เกิดการแพ้ เช่น น้ำหอม สารเคมีในเครื่องสำอาง

เมื่อเป็นสิวแล้วควรใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวสำหรับผู้ที่มีปัญหาสิวโดยเฉพาะ เพื่อช่วยลดภาวะอักเสบของผิวหนังทำให้สิวหายเร็วขึ้น ก็จะเห็นเป็นรอยแดงน้อยลง

  • เลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสมช่วยลดความเสี่ยงของปัญหาสิว

ใช้สกินแคร์ที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน ไม่ก่อให้เกิดการอักเสบและระคายเคือง และเลือกสกินแคร์ที่มีสารช่วยต้านการอักเสบและสารที่ช่วยกระตุ้นการฟื้นฟูผิว เช่น โฟมล้างหน้าหรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิว ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิว เพื่อเลี่ยงปัญหาผิวแห้ง อ่อนแอ และระคายเคือง ซึ่งเสี่ยงต่อการเห่อของสิว ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีสารออกฤทธิ์ช่วยต้านการอักเสบ เช่น วิตามินซีที่ลดการอักเสบ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และเร่งการสมานแผล หรือไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) หรือวิตามินบี 3 ที่ช่วยลดการอักเสบ ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น และอาจลดการเห่อของสิวหนอง (Cystic Acne)

  • หลีกเลี่ยงการบีบหรือกดสิวด้วยตนเอง

การกดบีบหรือกดสิวด้วยตัวสามารถทำให้ผิวหนังบริเวณที่โดนบีบเกิดการอักเสบได้ เมื่อผิวหนังเกิดการอักเสบจะทำให้เมื่อรักษาสิวหายแล้ว แต่จะทิ้งรอยแดงรอยดำไว้ นอกจากนี้การบีบหรือกดสิวด้วยตนเองมีโอกาสทำให้สิวลุกลามไปยังบริเวณใกล้เคียง ซึ่งหากมีการลุกลามเกิดขึ้นจะทำให้เป็นสิวมากขึ้น และแน่นอนว่ารอยสิวก็มากขึ้นเช่นเดียวกัน รอยสิวนั้นจะเป็นนานมากขึ้นกว่าปกติ หากมีการแกะ เกา เราจึงควรรักษารอยสิวตั้งแต่ยังเป็นรอยแดง ​เพราะการปล่อยทิ้งไว้เสี่ยงต่อการเกิดรอยดำ และแผลเป็นมากขึ้น อาจต้องใช้เวลารักษานานขึ้น

  • หลีกเลี่ยงแสงแดด

เพราะแสงแดดเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดจุดด่างดำ รอยดำรอยแดงจากสิว เมื่อบริเวณที่เป็นสิวสัมผัสกับแสงแดดและรังสี UV จะกระตุ้นให้เกิดรอยดำได้ง่ายขึ้น ดังนั้นควรทาครีมกันแดดทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน เนื่องจากครีมกันแดดสามารถป้องกันผิวจากแสงแดดและรังสี UV ได้ ซึ่งครีมกันแดดที่แนะนำสำหรับประเทศไทย คือ ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50 และ PA ++ หรือมากกว่า

  • ใช้ผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว

สำหรับผู้ที่มีผิวแห้งหรือผิวขาดน้ำ ต่อมไขมันจะยิ่งผลิตน้ำมันออกมาเพื่อทดแทนน้ำที่ขาดไป ซึ่งไขมันเป็นสาเหตุหลักของการเกิดสิวอุดตัน เมื่อต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากเกินความจำเป็นทำให้เกิดการอุดตันภายในรูขุมขนและเป็นสิวในที่สุด เมื่อเป็นสิวทำให้มีโอกาสที่จะเกิดรอยดำรอยแดงจากสิวมากขึ้น ดังนั้นควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว และไม่ควรปล่อยให้ผิวแห้งเนื่องจากผิวจะผลิตน้ำมันออกมามากเกินความจำเป็น

  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์เมื่อเข้ารับการรักษา

การรักษารอยแดง รอยดำที่เกิดมาแล้วนั้นอาจจะต้องใช้ระยะเวลาในการรักษา ซึ่งจะเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงและการพฤติกรรมของผู้ที่เข้ารับการรักษาด้วยว่ามีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมประจำวันที่ทำอยู่ให้เป็นไปตามคำแนะนำของแพทย์ด้วยไหม และการเลือกใช้ตัวยาบางชนิดก็ต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์ด้วยเพราะยาบางชนิดอาจก่อให้เกิดอาการระคายเคืองต่อผิวได้


 

6. วิธีการรักษารอยแดง รอยดำ

6.1. การใช้ยาทาลดรอยแดง รอยดำ

ตัวยาในปัจจุบันมีหลากหลายชนิดที่สามารถออกฤทธิ์ที่แตกต่างกันออกไปในการลดการสร้างเม็ดสีได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม รวมถึงยังช่วยป้องกันการกลับมาและบำรุงผิวไปพร้อมกันด้วย

6.1.1. Niacinamide อยู่ในกลุ่ม Vitamin B complex มีฤทธิ์ช่วยฟื้นฟู บำรุงผิว ปรับพื้นผิวให้สม่ำเสมอ ลดปัญหารอยแดง รอยดำได้

6.1.2. Vitamin C สามารถยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase จึงช่วยลดการสร้างเม็ดสี Melanin และยังมีส่วนช่วยกระตุ้นการสร้าง Collagen, Elastin ใต้ชั้นผิวก่อให้เกิดการซ่อมแซมบำรุงผิว ลดอาการอักเสบของผิว

6.1.3. Hydroquinone เป็นสารที่ช่วยยับยั้งการเปลี่ยนแปลงของสีผิว ซึ่งโดยปกติแล้วมักจะนำมาใช้ในการรักษาภาวะที่ผิวหนังมีการสร้างเม็ดสีออกมามากจนเกินไปจนกลายเป็น รอยดำ ฝ้า หรือกระ

6.1.4. Tretinoin ปกติแล้วเป็นตัวยาที่ใช้รักษาสิวอุดตัน แต่ Tretinoin ก็สามารถยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสีช่วยลดรอยดำที่เกิดจากสิวได้ แต่ไม่ควรใช้มากจนเกินไปเพราะอาจก่อให้เกิดอาการระคายเคืองได้

6.1.5. Arbutin เป็นสารสกัดจากธรรมชาติที่ได้จากพืชตระกูล เบอร์รี่ ช่วยยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase และ DOPA ที่เป็นส่วนสำคัญในการสร้างเม็ดสี Melanin

6.1.6. Kojic acid เป็นสารที่พบได้ตามธรรมชาติ ผลิตมาจากเชื้อรา Aspergillus oryzae โดยปกติแล้วสารชนิดนี้มักจะใช้เป็นยารักษาฝ้า ช่วยลดจุดด่างดำ โดยการจับกับ copper ion ในเอนไซม์ Tyrosinase ไม่ให้สามารถเริ่มกระยวนการสร้างเม็ดสีได้


Kojic acid

6.2. Chemical peel

การใช้ผลิตภัณฑ์หรือสารที่ฤทธ์ช่วยในการผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ (ผิวชั้นตื้น) ออกไป ช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาทดแทน ทำให้สุขภาพผิวดีขึ้นและปรับสีผิวให้สม่ำเสมอขึ้น โดยสารที่มักใช้ทำ Chemical peel มีดังนี้

6.2.1. Glycolic acid เป็นกรดผลไม้ที่มีฤทธิ์ที่ช่วยในการผลัดเซลล์ผิว สามารถแก้ปัญหารอยดำ ฝ้า กระให้ดูจางลง และปรับสีผิวให้ดูสม่ำเสมอมากขึ้น

6.2.2. Salicylic acid มีคุณสมบัติในการผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว และกำจัดไขมันที่อุดตันอยู่ตามรูขุมขน จึงสามารถช่วยรักษาและป้องการกลับมาของสิวที่เป็นสาเหตุของรอยดำได้

การใช้สารผลัดเซลล์ผิวอาจทำให้ผิวไวต่อแสงแดด จึงควรเลี่ยงการออกที่แจ้ง


ผลัดเซลล์ผิว

6.3. Mesotherapy

การใช้เข็มฉีดสารบำรุงหรือสารที่ฤทธิ์ในการลดการสร้างเม็ดสี Melanin ชนิดต่างๆลงไปใต้ชั้นผิวของเรา ซึ่งวิธีจะช่วยจัดการต้นตอของปัญหาได้ตรงจุดและไม่ต้องรอสารซึมผ่านลงมาจากชั้นผิวด้านบน สารที่ฉีดไปจึงสามารถทำงานได้เลย


Mesotherapy

6.4. Microneedling

การใช้เข็มขนาดเล็ก (Micro needle) แทงลงใต้ชั้นผิวหนังเพื่อกระตุ้นการสร้าง Collagen และ Elastin ช่วยกระชับรูมขุมขน ลงการทำงานของต่อมไขมันและลดรอยแดง รอยดำ ให้ดูจางลงได้


Microneedling

6.5. LED phototherapy

การใช้แสงเพื่อการรักษาปัญหาสุขภาพผิวต่างๆทั้ง สิว รอยแผลเป็น รอยแดง รอยดำ ได้ดี โดยหลังการรักษาจะมีอาการร้อนผ่าวๆ หน้าแดง บริเวณที่ทำการรักษาเล็กน้อย สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ


การใช้แสงรักษาสิว รอยดำ

6.6. Laser

การใช้คลื่นความร้อนช่วงความยาวคลื่นที่ 532 – 1064 nm. ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อการรักษาเม็ดสีที่มีความผิดปกติต่างๆ ซึ่งพลังงานจากแสงเลเซอร์จะถูกดูดซับโดยเม็ดสี Melanin ทำให้เม็ดสีแตกตัวออก บางส่วนอาจหลุดลอกเป็นสะเก็ดและจะค่อยๆจางลงไป


การเลเซอร์รอยดำ

Fractional CO2 laser เป็นการปล่อยลำแสงเลเซอร์ขนาดจิ๋วที่มีระบบ scanner ช่วยให้มีความแม่นยำต่อเป้าหมายสูง ฉายลงไปบริเวณผิวที่มีรอยแดง รอยดำเพื่อกำจัดเซลล์ผิวเก่าออกได้อย่างจำเพาะเจาะจง ความรุนแรงไม่สูงมากอาจมีอาการบวมแดงหลังการรักษา 2-4 วัน


Fractional CO2 laser

QS-Nd Yag laser เป็นเลเซอร์สำหรับรักษาความผิดปกติของเม็ดสีบนผิวหนัง ซึ่งแสงเลเซอร์เป็นประเภท Q-switch ใช้ยิงลงไปถึงชั้นหนังแท้เพื่อกำจัดกลุ่มของเม็ดสีได้อย่างตรงจุด


เลเซอร์รักษารอยดำ



วิธีการรักษาหลุมสิว

ข้อดี

ข้อเสีย

ประสิทธิภาพในการรักษา

(-/5)

คะแนนคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ

(-/5)

​1. การใช้ยาทาลดรอยแดง รอยดำ

​-ใช้ง่าย สามารถทำได้เอง

​-ตัวยาอาจทำงานได้ไม่เต็มที่ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของเราและสภาพแวดล้อมภายนอกด้วย


ดาว


กดไลก์

​2. Chemical peel

​-เห็นผลในการปรับสีผิวได้รวดเร็วเนื่องจากเร่งการผลัดเซลล์ผิวออก

-หลังการผลัดเซลล์ผิวจะทำให้ผิวบริเวณที่ทำการรักษาอ่อนแอ ระคายเคืองได้ง่าย


ดาว


กดไลก์

​3. Mesotherapy

​-ยาหรือสารบำรุงสามารถออกฤทธิ์ได้เต็มที่ไม่ต้องรอการดูดซึมของผิว

​-อาจรู้สึกเจ็บบริเวณที่ทำการรักษาเนื่องจากใช้เข็มแทงเข้าผิวหนังและอาจเป็นรอยเข็มบ้างเล็กน้อย


ดาว


กดไลก์

4. Microneedling

​-กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ปรับสมดุลสีผิว

-อาจรู้สึกเจ็บบริเวณที่ทำการรักษาเนื่องจากใช้เข็มแทงเข้าผิวหนังและอาจต้องรอผลนานเพราะต้องให้ร่างกายฟื้นฟูตัวเอง


ดาว


กดไลก์

​5. LED phototherapy

​-ทำการรักษาได้ง่าย สะดวก ไม่เจ็บ

-ผลที่ได้อาจอยู่ไม่นาน ต้องทำบ่อย


ดาว


กดไลก์

​6. Laser

​-แก้ปัญหาผิวได้ตรงจุด และจัดการได้รวดเร็ว

-หลังการรักษาผิวจะทำให้ผิวบริเวณที่ทำการรักษาอ่อนแอ ระคายเคืองได้ง่าย

ดาว


กดไลก์


Innoglossy

INNO GLOSSY อีกหนึ่งตัวช่วยให้ผิวคุณเรียบเนียน ที่ช่วยให้ผิวคุณ ฉ่ำวาว ใส นุ่มเนียน อิ่มฟู

PDRN : ลดเลือนริ้วรอย แห่งวัยใบหน้าเด้งกระชับ

MG+ : โปรตีนโมเลกุล ขนาดเล็ก เข้าซ่อมแซมและฟื้นฟูทุกปัญหาผิวที่เสื่อมสภาพ

Primula Veris Extract : สารสกัดจากดอกพริมูล่า ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ฟื้นฟูผิวที่แพ้ง่าย และ ลดการระคายเคือง

Hyaluronic Acid : เป็นโมเลกุลขนาดเล็ก เผยผิวฉ่ำวาววับจับแสง ชุ่มฉ่ำน้ำ สุขภาพผิวดี


INNO GLITTER นวัตกรรมย้อนวัยผิว ผสมสารประกอสำคัญ PDRN เข้มข้น จาก USA

PDRN : ลดเลือนริ้วรอยเเห่งวัย ใบหน้าเด้งกระชับ

Hyaluronic Acid : ไฮย่าบริสุทธิ์ ขนาดเล็ก พร้อมเเทรกซึมทุกอนุผิว เผยผิวฉ่ำวาว วับจับเเสง ดุจผิวสุขภาพดี ชุ่มฉ่ำน้ำ

Placenta Extract : โปรตีนโมเลกุลเล็ก ส่งตรงเข้าซ่อมเเซมเเละฟื้นฟูทุกปัญหาผิวที่เสื่อมสภาพ

Koji (โคจิก) : สารสกัดจากธรรมชาติที่ช่วยปกป้องจากอนุมูลอิสระ เเละ ช่วยให้ผิวเปล่งปลั่ง จุดด่างดำเเลดูจางลง


สนใจสินค้าของ Inno Glossy และ Inno Glitter สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

ได้ที่ 061-5325495 หรือ กดเเอด Line ด้านล่างได้เลยค่ะ







21 views0 comments
bottom of page