ลักษณะผิวมีกี่ประเภท ?
Updated: 4 days ago

สารบัญ
ลักษณะผิวมีกี่ประเภทและสาเหตุการเกิด ?
การดูแลรักษาปัญหาผิวแต่ละประเภท ?
1. ผิวหนังคืออะไร ?
ผิวหนัง คือ อวัยวะที่ใหญ่ที่สุดในร่างกายปกคลุมทั่วบริเวณ มีลักษณะพื้นผิวที่แตกต่างกันออกไปตามส่วนของร่างกาย โดยที่โครงสร้าง ความหนา สีผิว ก็จะต่างกันขึ้นอยู่ที่กรรมพันธุ์และการดูแลรักษาของแต่ละบุคคล
ผิวหนัง มีด้วยกัน 2 ชั้น ดังนี้

1.1. ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) : ผิวชั้นบนสุด เป็นชั้นผิวที่ประกอบไปด้วยเซลล์ผิวที่มีการเกิด เจริญเติบโต และตายหลุดลอกออกอยู่ตลอดเวลา เป็นชั้นที่มีโครงสร้างต่างๆมากมาย เช่น รูขุมขน เส้นขน ต่อมไขมัน เล็บ ต่อมเหงื่อ เม็ดสี เป็นต้น ชั้นนี้มีความหนาอยู่ประมาณ 0.4-1.5 มม. โดยที่ความหนาของชั้น Epidermis จะแตกต่างกันไปในแต่ละบริเวณ ทำให้สามารถแบ่งได้ 2 ชนิด คือ
1.1.1. ชั้น Thick skin : เป็นบริเวณชั้น Epidermis ที่หนาอยู่บริเวณฝ่ามือฝ่าเท้า ไม่มีขน รูขุมขน หรือกล้ามเนื้อบริเวณนั้น แต่จะมีต่อมเหงื่อเป็นจำนวนมาก
1.1.2. ชั้น Thin skin : เป็นบริเวณชั้น Epidermis ที่บาง พบได้ทั่วร่างกาย เป็นผิวที่มีรูขุมขน เส้นขน ต่อมเหงื่อ เป็นต้น
1.2. ชั้นหนังแท้ (Dermis) : เป็นผิวที่อยู่ชั้นใต้ Epidermis มีความหนาประมาณ 1-2 มม. ผิวชั้นนี้จะประกอบไปด้วยเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน เช่น Collagen, Elastin ที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น แรงยืดของชั้นผิว การอุ้มน้ำ ควบคุมอุณหภูมิ ปกป้องร่างกายจะสิ่งแวดล้อมภายนอก และยังมีระบบเส้นเลือดและระบบประสาทด้วย
2. ลักษณะผิวมีกี่ประเภทและสาเหตุการเกิด ?
ลักษณะผิวสามารถแบ่งออกได้ 4 ประเภท
2.1 ผิวธรรมดา (Eudermic) : ลักษณะผิวที่มีความสมดุล มีสุขภาพผิวที่ดี บริเวณ T-zone (หน้าผาก, จมูก, คาง) มีความมันเล็กน้อยแต่ยังมีความชุ่มชื้นของใบหน้าที่ช่วยให้สมดุลกัน (ไม่แห้งไม่มันเกินไป)
ข้อที่บ่งบอกว่าเป็นผิวธรรมดา
- ไม่มีสิว
- ผิวเนียนเรียบ
- รูขุมขนเล็ก
- ผิวใส ไม่มีรอยหมองคล้ำ

2.2 ผิวแห้ง (Xerosis) : ลักษณะผิวที่มีความมันน้อยกว่าปกติ เกิดจากการขาดกรดไขมันที่ปกติจะเป็นสิ่งที่ช่วยในการรักษาความชุ่มชื้นและช่วยปกป้องผิวจากมลภาวะ ทำให้ผิวดูหยาบ กระด้าง เป็นริ้วรอย ได้ง่าย โดยที่ลักษณะผิวแบบนี้มักจะพบได้ในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และเมื่ออายุมากขึ้นก็จะยิ่งแห้งขึ้นไปเรื่อย ๆ
สาเหตุที่ทำให้เกิดผิวแห้ง
- เหงื่อ : ผ่านการทำกิจกรรม ความร้อน ที่เข้ามาทำให้เกิดความสูญเสียน้ำจากต่อมเหงื่อ
- การสูญเสียน้ำผ่านช่องว่างระหว่างเซลล์ : น้ำจากใต้ผิวหนังชั้นลึกจะถูกแทรกซึมออกมาชั้นตื้นในทุกวัน
- การขาดหายของกรดไขมันในชั้นผิวหนัง
- การขาดหายของกรดแลคติด ยูเรีย กรดอะมิโน ที่ใช้ในการอุ้มน้ำ
- อากาศหนาว เย็น
ระดับความรุนแรงของผิวแห้งสามารถแบ่งได้ 2 ระดับ
- ผิวแห้งขาดความชุ่มชื้น

- ผิวแห้งแตก ผิวลอกเป็นขุย มักพบบริเวณ มือ เท้า ข้อศอก หัวเข่า

2.3 ผิวมัน (Oily skin) : ลักษณะของผิวที่มีการผลิตไขมันในชั้นผิวมากจนเกินไป สังเกตุได้จากการที่มีรูขุมขนกว้างอย่างชัดเจน ผิวมันวาว ซึ่งผิวลักษณะนี้มีโอกาสที่จะเกิดสิวอุดตัน (Comedone) แล้วเกิดเป็นสิวอักเสบชนิดต่างๆตามมาได้
สาเหตุที่ทำให้เกิดผิวมัน
- พันธุกรรมของแต่ละบุคคล
- ความเครียด
- การใช้ยา
- ฮอร์โมนที่มีการเปลี่ยนแปลง
- การใช้เครื่องสำอาง (อาจเกิดการอุดตัน)
- อากาศร้อน ชื้น

2.4 ผิวผสม (Combination skin) : ลักษณะของผิวที่มีความแตกต่างกันไปในแต่ละบริเวณ อาจจะมีทั้งผิวมันและผิวแห้งผสมกัน มีรูขุมขนที่กว้าง ผู้ที่มีผิวลักษณะนี้มักจะมีความแตกต่างบริเวณ T-zone และบริเวณแก้ม ซึ่งอาจพบ สิวหัวดำ ที่จมูกและสิวขึ้นที่หน้าผากและคาง
สาเหตุที่ทำให้เกิดผิวผสม
- พันธุกรรม
- ฮอร์โมน
- อากาศที่เปลี่ยนแปลง

3. การประเมินลักษณะผิว ?
ลักษณะของผิวแต่ละชนิดไม่เหมือนกัน จึงทำให้ต้องมีการประเมินสภาพให้ทราบแน่ชัดก่อนว่าเรานั้นมีลักษณะผิวแบบใดจะได้เลือกการรักษาที่เหมาะสมแก่ตัวบุคคล
แพทย์ผิวหนังจะมีการจำแนกลักษณะผิวต่างๆตามปัจจัยนี้
- ริ้วรอยบนพื้นผิว
- ความยืดหยุ่นของผิว
- สีผิว การกระจายตัวของเม็ดสีในชั้นผิว
- ปริมาณความมัน
- ปริมาณเหงื่อ น้ำบนชั้นผิว
- Natural moisturizing factor เช่น กรดอะมิโน
- ความไวของผิว
4. การดูแลรักษาปัญหาผิวแต่ละประเภท ?
4.1. การดูแลรักษาผิวแห้ง : ลักษณะผิวแห้งที่เกิดขึ้นนั้นสามารถเกิดการแตกแยกออกจากกันได้แล้ว ส่งผลให้มีเลือดออกได้ตามรอยแตกนั้น
- หลีกเลี่ยงการขัด ถู และน้ำร้อน บริเวณที่มีผิวแห้ง เพราะอาจทำให้ผิวที่แห้งแตก ลอกกว่าเดิม
- การฉีด Mesotherapy : ที่สารในกลุ่มที่ช่วยเก็บกักน้ำในชั้นผิว หรือเสริมความชุ่มชื้น
- ควรใช้ผลิตภัณฑ์หรือโลชั่นที่มีส่วนผสมของ Moisturizer ทาทั่วบริเวณหลังอาบน้ำเสร็จ
- ถ้าหากผิวแห้งรุนแรงมากแนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Lactic acid, Shea butter, Petroleum, Glycerine เป็นต้น
- ในกรณีที่เกิดการอักเสบรุนแรง ผิวลอก แตก เป็นขุย ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาด้วยยา Steroid เพื่อลดการอักเสบและใช้ยาปฏิชีวนะ เพื่อรักษาการติดเชื้อที่บริเวณผิวหนัง
4.2. การดูแลรักษาผิวมัน : ลักษณะผิวมันส่วนใหญ่แล้วสาเหตุหลักมาจากพันธุกรรมซึ่งแก้ไขได้ยากแต่ก็สามารถลดการเกิดผิวมันได้
ล้างทำความสะอาดหน้าเพื่อลดความมัน แต่ไม่ควรล้างเกิน 2 ครั้ง/วัน เพราะทุกครั้งที่ล้างหน้าจะลดความชุ่มชื่นทำให้เกิดหน้าแห้งได้
ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ควบคุมมัน
ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เป็นกลุ่มของ Moisturizer ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน จะช่วยเพิ่ม ความชุ่มชื้นให้กับผิว ทำให้ต่อมไขมันไม่จำเป็นต้องผลิตน้ำมันมาทดแทนความชุ่มชื้น
ใช้ผลิตภัณฑ์มาร์กหน้าช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้าและควรเลือกส่วนผสมที่มีคุณสมบัติในการควบคุมความมัน
ใช้กระดาษซับมันเพื่อควบคุมความมันในระหว่างวัน
ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Alpha-hydroxy acid (AHA) หรือ Beta-hydroxy acid (BHA) ที่มีคุณสมบัติในการผลัดเซลล์ผิวได้ แต่แนะนำ BHA เพราะสามารถละลายได้ดีในน้ำมันและช่วยปรับรูขุมขนให้เล็กลงได้
ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการสครับผิว จะช่วยลดการอุดตันของสิ่งสกปรกและผลัดเซลล์ผิวใหม่ได้ดี
การฉีด Botox : Botulinum toxin จะเข้าไปยับยั้งการส่งของสารสื่อประสาทบริเวณต่อมไขมันจึงช่วยลดการผลิตไขมันใต้ชั้นผิวลงได้
4.3. การดูแลรักษาผิวผสม : ลักษณะผิวผสมจะมีความยากในการดูแลรักษามากกว่าผิวมันและผิวแห้ง เนื่องจากการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ในการบำรุงรักษาต้องแบ่งการดูแลเป็น 2 กลุ่ม (ผิวมันและผิวแห้งก็ดูแลแตกต่างกันไป)ไม่สามารถใช้ร่วมกันได้ โดยที่บริเวณที่เป็นหน้ามันมักจะเป็น T-zone